วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2563

นิทานอีสป ลมกับพระอาทิตย์

ในวันที่ลูกรักจะเติบใหญ่ พ่อแม่หลายคนคงอยากให้เจ้าตัวน้อยของเราโตมาเป็นคนที่มีเมตตา ไม่ว่ากับใครก็ตามที แต่จะพูดพร่ำทุกวันแบบนี้ลูกรักอาจจะไม่อยากฟังสักเท่าไร คงต้องใช้นิทานก่อนนอนมาเป็นสื่อช่วยในการสอนสักหน่อยแล้ว อย่างนิทานอีสป ลมกับพระอาทิตย์ ซึ่งฝากข้อคิดเรื่องของการแข่งขัน ความเมตตา และความอ่อนโยนได้อย่างแนบเนียน ส่วนเนื้อเรื่องก็สนุกน่าติดตาม เรียกลูกน้อยมานั่งข้าง ๆ แล้วเล่านิทานให้เขาฟังกันเลย 
 
นิทานอีสป
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว วันที่อากาศแจ่มใสท้องฟ้าปลอดโปร่ง พระอาทิตย์ออกมาส่องแสงเจิดจ้าอย่างที่เคยเป็น เจ้าลมเพื่อนเก่าได้ผ่านมาเห็นเลยหยุดแวะทักทาย "เป็นอย่างไรบ้างพระอาทิตย์มิตรแห่งเรา ไม่เจอกันเสียนานสบายดีหรือไม่" เจ้าลมตะโกนทักทายสหายเก่าสุดเสียง พระอาทิตย์ก็ตอบรับอย่างดีใจด้วยไม่เจอลมตนนี้มาเนิ่นนานเหลือเกิน

นิทานอีสป
          ขณะนั้นเองก็มีชายหนุ่มนักเดินทางสวมเสื้อคลุมกำลังเดินเล่นเตร็ดเตร่อยู่ เจ้าลมเห็นอย่างนั้นก็นึกสนุก พูดท้าทายบางสิ่งออกมา "พระอาทิตย์สหายรัก เรามาแข่งขันวัดความแข็งแกร่งกันสักหน่อยไหม" ลมกล่าวชักชวน "ได้สิ ๆ แข่งอะไรดีเล่า" พระอาทิตย์ตอบกลับแบบไม่คิดอะไร ด้านเจ้าลมก็ชี้ลงไปยังหนุ่มนักเดินทางคนนั้นพร้อมกล่าว "ง่ายมากเลย ทำยังไงก็ได้ให้เสื้อคลุมของพ่อหนุ่มคนนั้นหลุดออกมาจากตัว ใครทำสำเร็จถือเป็นผู้ชนะและแข็งแกร่งที่สุด" พระอาทิตย์พยักหน้าตอบรับ ลมเห็นว่าสหายรักรับคำท้าจึงโผไปหาหนุ่มนักเดินทาง พลางตะโกนไล่หลัง "ฉันขอเริ่มก่อนเลยนะ"

นิทานอีสป

นิทานอีสป
          เจ้าลมใช้กำลังทั้งหมดรวบรวมมาเป็นพายุขนาดย่อม หวังทำให้เสื้อคลุมตัวนั้นปลิดปลิว แต่หนุ่มนักเดินทางก็ไม่หวั่นไหวแถมยังจับเสื้อเอามาคลุมไว้แน่น ลมเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งใช้แรงบีบบังคับมากขึ้นไปอีก จนหนุ่มคนนั้นแทบไม่มีแรงก้าวเดิน "ทำไมลมในวันนี้ถึงได้มีความโหดร้ายกับฉันนักนะ" หนุ่มนักเดินทางบ่นอย่างท้อใจแล้วดึงเสื้อคลุมตัวแน่นกว่าเดิม เจ้าลมจึงรวบรวมพลังอีกครั้งพร้อมกับเป่าไปยังหนุ่มคนนั้น ถึงขั้นเดินเซเกือบล้ม

นิทานอีสป

นิทานอีสป
          "พอเถิดหนาลมเอ๋ย เราขอลองแข่งบ้างเถิด" พระอาทิตย์กล่าวกับลม ด้วยแรงที่ใกล้จะหมดไป ลมจึงยอมให้พระอาทิตย์มาแข่งต่อ คราวนี้อากาศแจ่มใสไร้พายุใด ๆ มาก่อกวน หนุ่มนักเดินทางเลยเดินต่อจนใกล้ถึงแนวป่า ด้านพระอาทิตย์เองก็เริ่มแผนการอย่างแยบยล เขาค่อย ๆ เปล่งแสงให้ร้อนทีละนิด ทีละนิด จนหนุ่มคนนั้นเริ่มรู้สึกอุ่นขึ้น อุ่นขึ้น จากความอบอุ่นกลายเป็นความร้อน พอเจอแนวต้นไม้เงียบสงบ หนุ่มนักเดินทางเลยเลือกที่จะเข้าไปนั่งพัก พร้อมถอดเสื้อคลุมตัวที่ลมท้าพระอาทิตย์วางไว้ข้างกายอย่างสบายใจ

          "ความอ่อนโยนของเธอเหนือกว่าพละกำลังที่ฉันมีจริง ๆ" ลมชื่นชมในสิ่งที่พระอาทิตย์ทำลงไป "ไว้มีโอกาสคราใด เราจะแวะมาหาใหม่นะพระอาทิตย์เพื่อนรัก" ทั้งคู่จึงยิ้มร่ำลากันอย่างมีความสุข

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :

          การใช้กำลังและความรุนแรงแข่งขันกันไม่ทำให้เราได้ในสิ่งที่ต้องการเสมอไป บางครั้งอาจจะต้องสูญเสียสิ่งเหล่านั้นเพราะการกระทำอันก้าวร้าวของเราก็เป็นได้ แต่ถ้าเปลี่ยนความรุนแรงมาเป็นความอ่อนโยนและมีเมตตา ไม่ว่าจะทำอะไรย่อมได้ผลสำเร็จตอบแทนอย่างที่หวังแน่นอน                   

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2562

 คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่คะ ว่าการเล่านิทานให้ลูกฟังก่อนนอนนั้น นอกจากจะช่วยให้เจ้าตัวน้อยเพลิดเพลินในโลกแห่งนิทานสนุก ๆ แล้ว ยังช่วยเสริมสร้างทักษะทางด้านการฟัง การอ่าน การใช้ความคิดและจินตนาการ ยิ่งหากคุณพ่อคุณแม่ได้เล่านิทานที่มีคติสอนใจสอดแทรกไปด้วย ก็จะช่วยปลูกฝังจิตสำนึกดี ๆ ให้แก่ลูกได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะ ซึ่งหากคุณพ่อคุณแม่ท่านใดกำลังหานิทานก่อนนอนสนุก ๆ สำหรับเล่าให้ลูกน้อยฟังก่อนนอนอยู่ละก็ วันนี้กระปุกดอทคอมก็มีนิทานอีสปเรื่อง "อึ่งอ่างกับวัว" มาฝากคุณพ่อคุณแม่และคุณหนู ๆ ทุกคนกันแล้ว นอกจากเนื้อเรื่องจะสนุกสนานน่าติดตาม ยังปิดท้ายด้วยข้อคิดดี ๆ ในการใช้ชีวิตอีกด้วย ว่าแล้วก็รีบไปอ่านนิทานให้ลูกน้อยฟังกันเลยดีกว่าค่ะ ^^

นิทานอีสป
          ณ ทุ่งนาแห่งหนึ่ง มีครอบครัวของอึ่งอ่างอาศัยอยู่ในหนองน้ำ วันใดที่ฝนตกพวกลูกอึ่งอ่างก็มักออกมาเล่นน้ำฝนกันอย่างสนุกสนาน ลูกอึ่งอ่างตัวหนึ่ง พูดกับแม่ของมันว่า "แม่จ๋า ๆ พวกหนูขอออกไปว่ายน้ำเล่นแถว ๆ นี้นะจ๊ะ"

          "ได้สิจ๊ะลูก แล้วอย่าไปนานนักล่ะ แม่เป็นห่วง" แม่อึ่งอ่างตอบลูกน้อย จากนั้นพวกลูกอึ่งอ่างก็ได้ออกไปว่ายน้ำเล่นกัน จนกระทั่งพวกมันไปเจอกับวัวตัวใหญ่ตัวหนึ่ง กำลังเดินมาที่หนองน้ำที่พวกอึ่งอ่างเล่นน้ำอยู่ เจ้าวัวไม่ทันสังเกตว่ามีลูกอึ่งอ่างเล็ก ๆ อยู่แถวนั้น ทำให้มันเผลอเหยียบลูกอึ่งอ่างตายไปหลายตัว

นิทานอีสป
          เจ้าลูกอึ่งอ่างที่รอดชีวิตเห็นอย่างนั้น ก็พากันตกใจและรีบวิ่งกลับไปบอกแม่ของมันว่า "แม่จ๋า ๆ เมื่อตะกี้มีตัวอะไรก็ไม่รู้มาเหยียบพี่ ๆ น้อง ๆ ของเรา ตัวมันใหญ่มาก ๆ ๆ เลยแม่"

          แม่อึ่งอ่างตกใจ เลยรีบถามกลับไปว่า "ตัวอะไร แล้วตัวมันใหญ่มากขนาดไหน แม่อยากรู้"

          "ตัวมันใหญ่มากกก ๆ ๆ เลยแม่" ลูกอึ่งอ่างตอบ

          แม่อึ่งอ่างนึกไม่ออกว่าเจ้าสัตว์ตัวใหญ่ที่มาเหยียบลูก ๆ ของมันคือตัวอะไร จึงพยายามสูดหายใจเข้าลึก ๆ และพองตัวโตเพื่อให้ลูกดูว่าตัวมันใหญ่ขนาดไหน

นิทานอีสป
          "ตัวมันใหญ่ประมาณนี้ไหมลูก" แม่อึ่งอ่างถาม

          "มันตัวใหญ่กว่านี้อีกหลายเท่าเลยจ้ะแม่" ลูกอึ่งอ่างตอบไปตามที่เห็น

          แม่อึ่งอ่างได้ยินแบบนั้น ก็รู้สึกหงุดหงิดและโมโหที่ไม่สามารถพองตัวให้ใหญ่เท่ากับสัตว์ตัวนั้นได้ มันจึงพยายามรวบรวมกำลังพองตัวให้ใหญ่ขึ้นอีก และใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนลูก ๆ พากันเตือนให้เลิกพองตัวว่า "พอแล้ว ๆ แม่จ๋า ไม่ต้องทำแล้ว"

นิทานอีสป
          แต่แม่อึ่งอ่างไม่ฟัง มันพยายามพองตัวให้โตขึ้นเรื่อย ๆ เพราะอยากรู้ว่าเจ้าสัตว์ตัวนั้นจะใหญ่โตขนาดไหน จนสุดท้าย แม่อึ่งอ่างพองตัวเต็มที่จนตัวระเบิดและตายลงต่อหน้าลูกอึ่งอ่าง ทำให้ครอบครัวอึ่งอ่างรู้สึกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก ที่แม่อึ่งอ่างต้องมาตายเพราะทำในสิ่งที่เกินกำลังและความสามารถของตัวเอง

นิทานอีสป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :

          อย่าทำอะไรที่เกินตัว เกินกำลังตนเอง เพราะอาจทำให้เกิดโทษได้ เช่นเดียวกับแม่อึ่งอ่างตัวนี้ที่ไม่รู้จักประมาณตัวเอง พยายามทำในสิ่งที่ตนเองไม่สามารถทำได้ โดยไม่ฟังคำเตือนของใคร จนสุดท้ายก็ทำให้ตัวเองเดือดร้อนในที่สุด ยกตัวอย่างง่าย ๆ เลยค่ะ หากเด็ก ๆ กำลังป่วย แต่ก็ฝืนตัวเองออกไปวิ่งเล่นข้างนอกทั้งที่ร่างกายไม่แข็งแรง ก็อาจทำให้เด็ก ๆ เป็นลมหมดสติได้ ดังนั้นหากพวกหนูคิดจะทำสิ่งใดแล้ว ก็ควรประมาณตนให้เหมาะสม ว่าเรามีศักยภาพพอที่จะทำสิ่งนั้นได้โดยไม่ลำบากตัวเองและคนอื่น ๆ หรือไม่

วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2562

นิทานอีสป หนูน้อยหมวกแดง

วันนี้กระปุกดอทคอมมี  นิทานอีสป เรื่อง  หนูน้อยหมวกแดง มาฝากคุณหนู ๆ โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถเล่าให้ลูกน้อยฟังก่อนนอนได้ เพราะนอกจากเนื้อเรื่องจะสนุกสนานแล้วนั้น ยังแฝงไปด้วยข้อคิดดี ๆ อีกด้วย ^^

          กาลครั้งหนึ่ง ณ หมู่บ้านที่แสนอบอุ่น มีเด็กหญิงหน้าตาน่ารักนั่งเล่นดูคุณแม่ทำอาหารอยู่ในครัว เพื่อนบ้านทุกคนต่างพากันเรียกเธอว่า "หนูน้อยหมวกแดง" ตามสีของหมวกที่เธอใส่เป็นประจำ และวันนี้เธอก็ได้รับคำสั่งจากคุณแม่ ให้นำอาหารและขนมไปเยี่ยมคุณยาย ผู้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านข้าง ๆ

นิทานอีสป
          "เอาตะกร้านี้ไปส่งให้ถึงมือคุณยายนะจ๊ะ แล้วก็รีบไปรีบกลับ อย่าไปเที่ยวเล่น เถลไถลที่ไหนไกล อย่าพูดคุยกับคนแปลกหน้าด้วยล่ะ เข้าใจไหม ?" คุณแม่คนสวยกำชับด้วยความเป็นห่วง ลูกสาวตัวน้อยเองก็ตอบรับสัญญา แล้วออกจากบ้านไปอย่างร่าเริง

          ระหว่างทางไปบ้านคุณยาย บังเอิญมีหมาป่าเจ้าเล่ห์เดินมาพบกับหนูน้อยหมวกแดง จึงเข้าไปทักทายหวังจับเด็กหญิงทำเป็นอาหารมื้อเย็น "สวัสดีจ้ะสาวน้อย มาทำอะไรในป่าตรงนี้คนเดียวเหรอจ๊ะ ?"
นิทานอีสป
          "หนูกำลังไปเยี่ยมคุณยายที่หมู่บ้านใกล้ ๆ นี้เองค่ะ" หนูน้อยหมวกแดงตอบอย่างเป็นมิตร แต่กลับทำให้เจ้าหมาป่าคิดอุบายหลอกล่อ หวังจับคุณยายของเธอมาเป็นเหยื่อด้วยอีกคน

          "แต่ว่าสาวน้อย.. เอาตะกร้าเล็ก ๆ ไปแค่นี้ คุณยายเสียใจแย่เลย ฉันว่าเราไปเก็บดอกไม้สวย ๆ มาเป็นของขวัญเพิ่มกันเถอะ" หมาป่าชักชวนให้หนูน้อยหมวกแดงออกนอกเส้นทาง มันจะได้รีบตรงไปจับคุณยายกินก่อน แล้วดักรอหนูน้อยหมวกแดงที่บ้านนั้นเลย

นิทานอีสป
          โชคไม่ดีที่หนูน้อยหมวกแดงหลงเชื่อคำชวน แล้วหันไปเก็บดอกไม้ และเดินเล่นอย่างเพลิดเพลินจนลืมทั้งเวลา ทั้งคำตักเตือนของคุณแม่ไปหมดสิ้น กระทั่งเจ้าหมาป่าเดินทางไปถึงหมู่บ้านข้าง ๆ แล้วจับตัวคุณยายซ่อนเอาไว้ในตู้ ก่อนนำเสื้อผ้ามาใส่ เพื่อปลอมตัวเป็นคุณยายนอนป่วยอยู่บนเตียง รอให้หนูน้อยหมวกแดงมาถึงแล้วจับกินทั้งยายทั้งหลานพร้อมกันทีเดียว

นิทานอีสป
          เมื่อหนูน้อยหมวกแดงรู้ตัวว่าทำผิดคำสั่งคุณแม่ ก็รีบวิ่งไปหาคุณยายที่บ้านทันที แต่กลับพบเข้าว่าคุณยายของเธอนั้น มีท่าทางและหน้าตาแปลกประหลาดไปจากเดิม

นิทานอีสป

"คุณยายคะ ทำไมคุณยายต้องนอนคลุมโปงด้วยล่ะคะ ?" หนูน้อยถามด้วยความสงสัย

"ยายเป็นไข้ไม่สบาย ยายเลยหนาวจ้ะหลาน" หมาป่าดัดเสียงตอบ

"คุณยายคะ ทำไมเสียงของคุณยายแปลกจังเลยคะ ?" หนูน้อยถามอีกครั้ง

          "ยายเจ็บคอ ไอหนักมาก เสียงเลยเพี้ยนไปหน่อยจ้ะหลาน" หมาป่าตอบพร้อมแกล้งทำเป็นไอค่อกแค่ก ทำให้หนูน้อยหมวกแดงสังเกตเห็นเขี้ยวแหลมในปาก

          "คุณยายคะ ทำไมคุณยายถึงมีเขี้ยวยาวขนาดนั้นล่ะคะ ?" หนูน้อยหมวกแดงถาม แล้วค่อย ๆ เดินถอยออกมา เพราะเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย

นิทานอีสป
       
          "ก็เพราะยายมีเขี้ยวไว้จับหลานกินไงล่ะ เจ้าหนูน้อย !!" คราวนี้หมาป่าไม่แสร้งทำตัวใจดีอีกต่อไป พร้อมกระโจนมาตะครุบตัวหนูน้อยหมวกแดงอย่างเกรี้ยวกราด แต่โชคดีที่เสียงกรี๊ดของหนูน้อย ดังไปถึงนายพรานหนุ่มสองคนที่ผ่านมาพอดี

          ปัง ปัง ปัง !!! เสียงปืนดังขึ้นสามนัด พร้อมกับร่างของหมาป่าดิ้นรนอย่างเจ็บปวด นายพรานหนุ่ม บุกเข้ามาช่วยชีวิตหนูน้อยหมวกแดง และพาคุณยายออกจากตู้เสื้อผ้าได้อย่างปลอดภัย หนูน้อยหมวกแดงสารภาพความผิด และขอโทษคุณยายที่ตัวเองเถลไถลจนได้รับอันตรายกันทั้งคู่

นิทานอีสป
          "ยายไม่โกรธอะไรหรอกจ้ะ แค่หนูไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว แต่ต้องสัญญากับยายก่อนนะว่า จะไม่เชื่อฟังคนแปลกหน้า ไม่เล่นซนจนลืมเวลาแบบคราวนี้อีก" หนูน้อยหมวกแดงพยักหน้ารับคำ พอคุณยายเห็นดังนั้นก็ยิ้มรับ แล้วเลี้ยงอาหารมื้ออร่อยให้นายพรานแทนคำขอบคุณ ก่อนทั้งสองจะพาหนูน้อยหมวกแดง กลับสู่อ้อมกอดของคุณแม่ที่บ้านโดยสวัสดิภาพ..

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :


          เด็ก ๆ ควรมีวินัยในตนเอง และเชื่อฟังคำสั่งสอน รวมถึงคำแนะนำของคุณพ่อคุณแม่ ถ้าได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกแล้ว ก็ไม่ควรเถลไถลไปไหนไกลจนมืดค่ำ และควรกลับบ้านให้ตรงเวลาที่กำหนด ที่สำคัญต้องพยายามหลีกเลี่ยง ไม่พูดคุย หรือรับของจากคนแปลกหน้าโดยเด็ดขาด เพราะพวกเขาอาจเป็นคนไม่ดีที่หวังขโมยทรัพย์สินเงินทอง หรือทำร้ายร่างกายแล้วเป็นอันตรายต่อชีวิต เหมือนกับหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์ ผู้คิดวางแผนกินหนูน้อยหมวกแดงเป็นอาหาร แต่ถ้าเผลอทำตัวผิดไป ก็ต้องรู้จักขอโทษขอโพย เอาความผิดพลาดมาเป็นบทเรียน แล้วอย่ากลับไปทำผิดซ้ำสองอีกนะคะ

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562

นิทานอีสป นกฮูกกับตั๊กแตน

  การเล่านิทานก่อนนอนให้ลูกฟัง นอกจากจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวได้แล้ว ยังเป็นการกระตุ้นจินตนาการให้เด็ก ๆ ได้นึกภาพตาม อีกทั้งยังช่วยปลูกฝังข้อคิดคติเตือนใจให้ลูกน้อยได้อีกทางแบบไม่ต้องท่องจำอีกด้วย วันนี้กระปุกดอทคอมจึงขอเอา นิทานอีสป เรื่อง นกฮูกกับตั๊กแตน มาฝาก เผื่อคุณพ่อคุณแม่จะได้นำไปอ่านนิทานก่อนนอนสั้น ๆ ให้ลูกรักฟัง เรื่องราวเป็นอย่างไร มาติดตามกันเลย

นิทานอีสป
            กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนกฮูกสาวตัวหนึ่งเมื่อถึงคราวที่ท้องฟ้าสว่างเจิดจ้าด้วยแสงอาทิตย์ นกฮูกตัวนี้จะนอนหลับอยู่ในโพรงต้นไม้ พอแสงอาทิตย์จางหายไป นกฮูกผู้หลับใหลก็จะตื่นขึ้นมาพร้อมออกหากิน ซึ่งอาหารอันโปรดปรานของเจ้านกตัวนี้มีทั้ง แมลง มด สัตว์ตัวเล็กจิ๋ว พวกมันล้วนมีรสชาติดีแถมทำให้นกฮูกอิ่มได้ตลอดคืน 

          หลายเดือน หลายปีผ่านไป... เจ้านกฮูกที่อาศัยอยู่ในโพรงไม้นั้นได้แก่ตัวลง จะออกหากินแต่ละทีก็เริ่มลำบาก หากวันใดมีเสียงรบกวนช่วงเวลากลางวันก็จะทำให้นอนหลับไม่เต็มอิ่มจนหมดเรี่ยวแรง ถึงแม้ช่วงหลายวันที่ผ่านมาจะยังไร้เสียงหรือผู้ใดคอยรบกวน แต่วันนี้กลับมีเสียงร้องเพลงดังลั่นป่า นกฮูกแก่เลยต้องโผล่หน้าจากโพรงไม้เพื่อสังเกตการณ์ดูว่าใครกันนะที่ฮัมเพลงเสียงดังขนาดนี้
 
นิทานอีสป
          โดยต้นเสียงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่มันเป็นเสียงขับร้องของตั๊กแตนผู้ย้ายมาใหม่นั่นเอง

          "เจ้าตั๊กแตนตัวน้อย ช่วยเบาเสียงลงหน่อยได้ไหม เรานอนไม่ค่อยจะหลับเลย" นกฮูกกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห

          "นี่คือเวลากลางวัน ช่วงพระอาทิตย์ส่องแบบนี้ เรามีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้" ตั๊กแตนหันมาตอบแล้วร้องเพลงต่ออย่างสบายใจ นกฮูกเห็นดังนั้นยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าเถียงตนได้ขนาดนี้

          "แต่เราต้องการพักผ่อน เพื่อที่จะได้มีแรงช่วงกลางคืน เจ้าไปร้องเพลงเล่นที่อื่นเถิด เจ้าตั๊กแตนตัวกระจ้อย !" นกฮูกโมโหหนักขึ้นกว่าเดิม

          "ก็บอกเหตุผลมาสัก 1 ข้อสิ ว่าเราได้ประโยชน์อะไรจากการหยุดร้องเพลง... ลั้น ลา ละ ลั้น ลั้น ลา..." ตั๊กแตนร้องเพลงต่ออย่างไม่ไยดี

นิทานอีสป
          นกฮูกทำได้เพียงเคียดแค้นอยู่ในใจ ไม่กล้าโหวกเหวกออกไป ด้วยกลัวจะโดนผู้อื่นหัวเราะเยาะที่มาเถียงกันเพราะเรื่องแค่นี้ แต่เพื่อให้ตนเองนอนหลับได้นกฮูกผู้ปราดเปรื่องจึงคิดแผนการขึ้นมา

          "ตั๊กแตนผู้มีเสียงอันไพเราะ เราต้องขอโทษทีที่เมื่อครู่นี้ได้ตวาดเจ้าไป มาตอนนี้เราได้ฟังเสียงเจ้าแล้วก็เป็นอันพอใจเพราะเสียงเจ้านั้นไพเราะเสนาะหูเหลือเกิน" นกฮูกออกมาพูดกับตั๊กแตนด้วยน้ำเสียงเยินยอ ทำเอาตั๊กแตนเกิดอาการประหลาดใจ แต่ก็อดยิ้มในคำชื่นชมนั้นไม่ได้

          "วันนี้เรามีไวน์ชั้นเลิศ ที่เหล่าทวยเทพทั้งหลายใช้ดื่มช่วยทำให้เสียงใสก้องกังวานมากขึ้น เพื่อเป็นการมอบรางวัลให้ตั๊กแตนผู้ร้องเพลงดีกว่าใคร ได้โปรดขึ้นมาดื่มไวน์ด้วยกันบนนี้เถิด" นกฮูกเชื้อเชิญตั๊กแตนอย่างมีแผนการ

นิทานอีสป
          "ก็ได้ เห็นแก่ที่ท่านชอบใจในน้ำเสียงของเรา ถ้าอย่างนั้นเราจะขึ้นไปร่วมดื่มไวน์ด้วยแล้วกัน" ตั๊กแตนกล่าวเสร็จก็กระโดดขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

          เมื่อตั๊กแตนเดินเข้าไปในโพรงไม้อันมืดสนิท ก็ทำให้มันมองไม่เห็นสิ่งใดเลย ต่างจากนกฮูกที่มองเห็นได้ดี ว่าแล้วนกฮูกเลยได้ทีจัดการกินเจ้าตั๊กแตนจนอิ่มหนำ แล้วก็นอนหลับพักผ่อนอย่างสบายใจไร้เสียงใด ๆ มารบกวนตลอดวัน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :

          อย่าหลงเชื่อคำเยินยอของใครง่าย ๆ เพราะสิ่งที่ร้ายกับเราได้มากที่สุดก็คือการหลงเชื่อคำพูดสรรเสริญอันไพเราะนั่นเอง อีกทั้งเมื่อเกิดความขัดแย้งอะไรกันควรใช้สติปัญญาในการแก้ไขดีกว่านั่งทะเลาะกันทั้งวันให้เสียเวลา

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องนางแตงอ่อน

ที่เมืองนครศรี เจ้าเมืองนามว่าพระยาโกศรี มเหสีนามว่า ทองแดง มีโอรสนามว่า มหาวงศ์ ท้าวมหาวงศ์ชอบกีฬาชนไก่ วันหนึ่งไปต่อไก่ในป่ากับขุนสี่คน คือ ขุนเครือ ขุนคาน ขุนเค่ง และขุนทุ่มภู่ ได้ธิดาจระเข้ชื่อนางแตงอ่อน ผู้มีรูปกายเป็นมนุษย์มาเป็นมเหสี นางแตงอ่อนประสูติโอรส เมื่อท้าวมหาวงศ์ไปคล้องช้างในป่า นางจึงถูกหมู่มเหสีทั้งหลายเปลี่ยนโอรสของนางเป็นจรเข้ และโอรสจริงเอาไปลอยน้ำ เทพธิดาจึงนำไปเลี้ยงไว้บนสวรรค์ และตั้งชื่อว่า”สุริยง
นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องนางแตงอ่อน
ส่วนนางแตงอ่อนถูกสามีขับไล่ออกจากเมืองเพราะประสูติโอรสเป็นจระเข้ …นางแตงอ่อนกลับไปเมืองนาค …พบกุมภาพี่ชายของตนปกครองเมืองนาคสืบต่อจากบิดา …พี่ชายกุมภารู้ข่าวด้วยความสงสาร ได้มอบเมืองให้กอระกันผู้เป็นน้องชายปกครองต่อ …ส่วนตนกับแตงอ่อน ได้บวชเป็นฤาษี …เพื่อเรียนวิชาไว้แก้แค้นมหาวงศ์ ซึ่งขับไล่น้องสาวตน
สุริยงได้ศึกษาวิชาการต่างๆ และได้ลงมาพบว่า…มารดาตนถูกยักษ์ลักพาตัวไป…จึงได้ตามมารดาคืน และรบกับยักษ์จนได้ชัยชนะ…สุริยงได้นางปทุมมา นางอินทะวงศ์ นางหยาดคำ และนางคำไหล เป็นภริยา ซึ่งยักษ์นั้นได้ลักพาตัวมาไว้…และสุริยงก็ได้พามารดากลับบ้านเมือง…มหาวงษ์ได้ทราบความจริงว่านางแตงอ่อนถูกใส่ร้ายและสุริยงคือลูกของตน…พ่อแม่ลูกได้พบกันแล้วเข้าใจกัน …ทั้งสามคนจึงได้อยู่ด้วยกันอย่างสุขสันต์ในบั้นปลายชีวิต และครองคู่เมืองนครศรีสืบมา
Credit: lib.ubu.ac.th

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2562

นิทานพื้นบ้านภาคกลาง เรื่องพิกุลทอง

นิทานพื้นบ้านไทยเรื่องพิกุลทอง เป็นนิทานพื้นบ้านภาคกลาง ที่มีเนื้อเรื่องสนุกสนาน เพลิดเพลิน และให้แง่คิดที่ดี จึงเป็นนิทานสอนใจ เป็นนิทานก่อนนนอน และเป็นนิทานเด็ก ไว้สอนเด็กได้ในเรื่องการทำความดี ด้วยบอกเล่าผ่านนิทานพื้นบ้านของไทยเรา
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีหญิงสาวสวย คนหนึ่งชื่อว่า “พิกุล” …กล่าวกันว่าเธอมีความสวยทั้งหน้าตาและ กิริยามรรยาท มารดาของเธอตายตั้งแต่เธอยังเล็กมาก ดังนั้นเธอจึงได้รับการเลี้ยงดูจากแม่เลี้ยงซึ่งเธอเองก็มีลูกสาวคนหนึ่ง ชื่อว่า “มะลิ” …แต่ก็โชคร้ายที่ว่าทั้งแม่เลี้ยงและลูกสาวของเธอนั้นเป็นคนใจร้าย ทั้งคู่จะบังคับให้พิกุลทำงานหนักทุกวัน
นิทานพื้นบ้านภาคกลาง พิกุลทอง
อยู่มาวันหนึ่ง หลังจากตำข้าวเสร็จแล้ว …พิกุลก็ออกไปตักน้ำที่ลำธารซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก ในขณะเดินทางกลับ …ทันใดนั้นก็มีหญิงชราคนหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้าของพิกุลและขอน้ำเธอดื่ม พิกุลดีใจมากที่ได้ช่วยหญิงชราคนนั้น …เธอเอาน้ำให้หญิงชราและบอกให้เธอเอาน้ำไปอีกเพื่อจะได้ล้างหน้า และล้างตัวให้สดชื่น พิกุลบอกหญิงชราว่าไม้ต้องห่วงเพราะถ้าน้ำไม่พอเธอจะไปตักมาอีก …หญิงชรายิ้มและกล่าวว่า “เธอนี่นอกจากจะสวยแล้วยังใจดีอีกถึงแม้ว่าฉันจะดูยากจน และมอมแมมเธอก็ปฏิบัติกับฉันเป็นอย่างดี”
หลังจากกล่าวชื่นชมพิกุลแล้ว …หญิงชราก็ให้พรวิเศษกับเธอ และด้วยอำนาจของพรวิเศษนี้จะทำให้ดอกพิกุลทองคำร่วงออกมาจากปากของเธอ …เมื่อใดก็ตามที่เธอรู้สึกสงสารใครหรือสิ่งใด …หลังจากหญิงชราให้พรวิเศษแก่พิกุลแล้ว ก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาของเธอ …พิกุลก็รู้ทันทีว่าแท้ที่จริงแล้วหญิงผู้นั้นเป็นนางฟ้าจำแลงมาให้พรวิเศษแก่ตน …ทันทีที่กลับถึงบ้านช้า เธอก็ถูกแม่เลี้ยงดุด่าว่าไปเถลไถลเพื่อหนีงาน ดังนั้นพิกุลจึงเล่าเรื่องทั้งหมด ให้ผู้เป็นแม่เลี้ยงฟังพร้อมกับเกิดความรู้สึกสงสารใน …ขณะเล่าจึงทำให้ดอกพิกุลทองคำร่วงออกมาจากปากของเธอด้วย …แม่เลี้ยงจอมละโมบก็เปลี่ยนอารมณ์จากโกรธเป็นละโมบในทันทีพร้อมกับตะครุบดอกพิกุลทองทั้ง หมดไว้ในขณะที่ปากก็สั่งให้พิกุลพูดต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อสนองความละโมบของเธอนั่นเอง
นิทานพิ้นบ้านไทย นิทานเด็ก พิกุลทอง
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา แม่เลี้ยงของพิกุลก็เก็บรวบรวมดอกพิกุลทองคำไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อนำไปขายและได้เงินมามากมาย ชีวิตทุกคนตอนนี้ก็มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พิกุลเองก็ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ถูกบังคับให้พูดทั้งวันเพื่อให้ดอกพิกุลทองคำออกมาจากปากของเธอมากๆ นั่นเอง …พิกุลทองอ่อนล้าไปกับการตอบสนองความละโมบของแม่เลี้ยง ตอนนี้พิกุลเองเกิดเจ็บคอและกลายเป็นคน เสียงแหบเสียงแห้งไปเลย เธอพูดไม่ได้ไประยะหนึ่ง …อาการเช่นนี้ทำให้แม่เลี้ยงโมโหมากขึ้นจนถึงขั้นตบตี พิกุลเพื่อพยายามยังคับให้เธอพูดแต่พิกุลก็พูดไม่ได้แม้แต่คำเดียว
… เพื่อตอบสนองความละโมบของตน ตัวแม่เลี้ยงเองจึงตัดสินใจส่งลูกสาวของตนนามว่ามะลิไปทำตามอย่างพิกุลบ้าง … มะลิถูกส่งไปยังสถานที่เดียวกับที่พิกุลบอกไว้แต่ว่าแทนที่จะได้พบกับหญิง ชราก็กลับเป็น พบหญิงสาวสวยสวมเสื้อผ้างดงามยืนอยู่ใต้ร่มใหญ่ หญิงสาวผู้นั้นขอน้ำมะลิดื่มแต่ด้วยความริษยามะลิแสดงอาการโกรธและคิดว่า หญิงผู้นั้นไม่ใช่นางฟ้า เธอจึงปฏิเสธและใช้วาจาหยาบคายด่าทอนางฟ้าจำแลง …ดังนั้น นางฟ้าจึงสาปแช่งมะลิว่า เมื่อใดก็ตามที่เธอโกรธและพูดออกมาแล้วไซร้ ก็จะมีหนอนร่วงออกมาจากปากของเธอ เมื่อกลับมาถึงบ้านมะลิก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ผู้เป็นแม่ฟังและด้วยความโกรธ ในขณะ เล่าเรื่องนั้นก็ทำให้บ้านทั้งหลังเต็มไปด้วยตัวหนอน ผู้เป็นแม่คิดว่าพิกุลอิจฉาลูกสาวของตน ดังนั้นจึงแกล้งบิดเบือนเรื่องที่เล่าจึงเป็นเหตุให้ลูกสาวของตนไม่ได้พบกับ หญิงชราแม่เลี้ยงจึงทุบตีพิกุลและไล่เธอออกจากบ้านไป
นิทานพื้นบ้าน นิทานก่อนนอน พิกุลทอง
ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้งพิกุลจึงท่องเที่ยวไปในป่า แต่เพียงลำพัง โชคดีที่ว่าเธอเดินไปในทิศทางที่ เจ้าชายหนุ่มกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการขี่ม้าประพาสป่ากับข้าราชบริพารผ่าน มาพอดีเมื่อทอดพระเนตรเห็นสาวนั่งร้องไห้อยู่ทรงถามเรื่องราวความเป็นมาทั้ง หมด ทันทีที่พูดจบที่บริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยดอกพิกุลทองคำ …เจ้าชายดีพระทัยยิ่งนัก จึงขอนางอภิเษกสมรสด้วยและหลังจากการอภิเษกสมรสทั้งสองพระองค์ก็ได้ ขึ้นครองราชย์และปกครองเมืองของพระองค์ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1. จากเค้าเรื่องนิทานนี้จึงเป็นต้นกำเนิดของสำนวนไทยเปรียบเปรยคนที่ไม่ค่อยพูดหรือมักพูดอุบอิบอยู่แต่ในปากว่า “กลัวดอกพิกุลจะร่วง
2. “การคิดดีทำดี …ย่อมได้รับสิ่งที่ดีตอบสนองเสมอ” …อย่างเช่น พิกุล
Credit: infoforthai.com/forum/topic/622
Photo credit: kruspw.com/2016/03/blog-post_72.html